วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

4.พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

4.พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2325 และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีใหม่จากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออก(ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา)และสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีขึ้น ณ ที่แห่งนี้
เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงย้ายราชธานี
• พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้งสองด้าน คือ วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)และวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง
• ความไม่เหมาะสมด้านภูมิประเทศ เนื่องจากฝั่งตะวันตกหรือราชธานีเดิมเป็นท้องคุ้ง อาจถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่าย แต่ฝั่งตะวันออก(กรุงเทพ)เป็นแหลมพื้นดินจะงอกอยู่เรื่อยๆ
• ความไม่เหมาะสมในการขยายเมืองในอนาคต พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวาง สามารถขยายตัวเมืองไปทางเหนือและตะวันออกได้
• กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ กล่าวคือ มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เปรียบเสมือนเมืองอกแตก เมื่อใดข้าศึกยกทัพมาตามลำน้ำก็สามารถตีถึงใจกลางเมืองได้ง่าย
เมืองหลวงใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
บริเวณเมืองหลวงใหม่ เดิมเรียกว่า บางกอก หรือปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีใหม่ของไทย สร้างขึ้นโดยเลียนแบบอยุธยา กำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ
• บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า วัดในพระบรมมหาราชวัง(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)และรวมทั้งทุ่งพระสุเมรุท้องสนามหลวง
• บริเวณที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง อาณาเขตกำแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการสร้างขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ได้แก่ คลองบางลำภู และคลองโอ่งอ่าง
• บริเวณที่อยู่อาศัยภายนอกกำแพงเมือง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีบ้านเรือนราษฏรตั้งอยู่ด้านนอกของคลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาลที่ 1คือ คลองมหานาค

๑ ) ด้านการปกครอง ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( พ . ศ . ๒๓๒๕ ๒๓๙๔ ) ระบบการปกครองยังคงเหมือนกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ยกเว้นแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( พ . ศ . ๒๓๒๕ ๒๓๕๒ ) ที่ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมุหพระกลาโหมมีอำนาจปกครองดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ จนกระทั่งในยุคปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตกซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( พ . ศ . ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ) จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ ด้วยการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรมตามแบบตะวันตก และมีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารสูงสุดในกระทรวงภายใต้การกำกับของพระมหากษัตริย์ขึ้นในส่วนกลาง ส่วนในภูมิภาคทรงปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล รวมทั้งการปกครองท้องที่ในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มีการทดลองจัดตั้งสุขาภิบาล เพื่อให้ราษฎรฝึกฝนการปกครองตนเอง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ก็ได้ทรงพยายามที่จะวางรากฐานให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมทางด้านการเมืองการปกครองมากขึ้น ตราบจนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ เมื่อ พ . ศ . ๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นประเทศไทยก็มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศมาเป็นจำนวน ๑๖ ฉบับ ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ขึ้นอีกก็ได้

๒ ) ด้านเศรษฐกิจ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระบบเศรษฐกิจของไทยยังเป็นแบบผูกขาดการค้าโดยพระคลังสินค้า การค้ากับจีนเจริญรุ่งเรืองมาก นอกจากนี้ ก็มีการค้ากับชาติตะวันตกโดยเฉพาะกับอังกฤษ ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาเบอร์นีระหว่างไทยกับอังกฤษ ใน พ . ศ . ๒๓๖๙ สมัยรัชกาลที่ ๓ และทำสนธิสัญญาเบาวริง ใน พ . ศ . ๒๓๙๘ สมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งในเวลาต่อมาไทยก็ต้องยอมตกลงทำสนธิสัญญาซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันสนธิสัญญาเบาวริงกับชาติตะวันตกอื่น ๆ ด้วย เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐ ฯ โปรตุเกส ฮอลันดา เป็นต้น ซึ่งถึงแม้จะเป็นสัญญาที่ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ก็ช่วยทำให้การค้าขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง สร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองเป็นอันมาก ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังมีการเก็บภาษีภายใต้ระบบการประมูลจัดเก็บภาษีอากรโดยพวกเจ้าภาษีนายอากรอยู่ แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทำการปฏิรูปเศรษฐกิจและการคลังตามแบบตะวันตก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ . ศ . ๒๔๗๕ แล้ว เศรษฐกิจของไทยก็ยังคงมีลักษณะเป็นแบบทุนนิยมอยู่ จนกระทั่งในสมัยจอมพล ป . พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้มีนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้คนไทยทำการลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการต่าง ๆ ที่สำคัญแทนคนต่างชาติ ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ ( พ . ศ . ๒๕๐๔ -๒๕๐๙ ) จนปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ ( พ . ศ . ๒๕๔๐ -๒๕๔๔ ) ผลของการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างมีระบบดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจของไทยรุดหน้าเป็นลำดับ

๓ ) ด้านสังคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สังคมไทยก็ยังคงมีลักษณะโครงสร้างทางสังคมเหมือนสมัยอยุธยา กล่าวคือ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชอำนาจสูงสุด นอกจากนี้ ก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ ทาส และพระสงฆ์ สิทธิ อำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลในฐานันดรต่าง ๆ ย่อมเป็นไปตามแบบแผนและจารีตของระบบศักดินา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( พ . ศ . ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ) พระองค์โปรดให้มีการเลิกระบบไพร่ และทรงตราพระราชบัญญัติเลิกทาส ทำให้ไพร่และทาสมีอิสระในแรงงานและชีวิตของตนเอง พร้อมกันนั้นพระองค์ก็ทรงริเริ่มปฏิรูปการศึกษา ทำให้ผู้คนในสังคมเริ่มต้นรับเอาวิทยาการและแนวคิดจากโลกตะวันตกมาใช้อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันสังคมไทยมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในการดำเนินชีวิตประจำวัน ลักษณะการดำเนินชีวิตของผู้คนกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากชุมชนชนบทเป็นชุมชนเมืองมากขึ้น

๔ ) ด้านศิลปวัฒนธรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นศิลปวัฒนธรรมยังคงถ่ายทอดแบบอย่างของศิลปวัฒนธรรมในสมัยอยุธยาทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ต่อมาเมื่อมีการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตก ศิลปวัฒนธรรมแบบตะวันตกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทย ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม นาฏกรรม ฯลฯ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยมีลักษณะของขนบธรรมเนียมประเพณีแบบตะวันตกผสมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ . ศ . ๒๔๗๕ แล้วเกือบ ๑๐ ปี จอมพล ป . พิบูลสงคราม ในฐานะนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ( พ . ศ . ๒๔๘๑ - ๒๔๗๘ ) ได้มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมหลายอย่าง เช่น ให้ทุกคนสวมหมวก ยกเลิกการกินหมาก ฯลฯ แต่ไม่สู้จะได้ผล ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการส่งคนไปศึกษา และดูงานในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้อิทธิพลวัฒนธรรมอเมริกันแพร่หลายเข้ามาสู่สังคมไทย ซึ่งมีผลทำให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยมีอิทธิพลของศิลปวัฒนธรรมตะวันตกแทรกผสมอยู่มากมาย จนกระทั่งได้มีการตื่นตัวในการรักษาศิลปวัฒนธรรมไทยกันอีกครั้งหนึ่งภายหลังสงครามเวียดนาม โดยมีการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
กล่าวโดยสรุป ภาพรวมของพัฒนาการของอาณาจักรไทยจากสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ นั้น กล่าวได้ว่าได้มีการพัฒนาการต่อเนื่องกันมาโดยตลอดทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ทำให้เราสามารถดำรงความเป็นชาติมาได้ตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น